Skip to main content

หน้าหลัก

การเมือง การปกครอง

การเมือง การปกครอง

ประเทศมาเลเซีย มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางกาารว่า สหพันธรัฐมาเลเซีย (Federation of Malaysia) ได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี พ.ศ 2500 เมื่อครั้งก่อตั้งประเทศใช้ชื่อประเทศว่า “สหพันธรัฐมลายู” ต่อมาในปี พ.ศ.2508 สิงคโปร์จึงได้แยกตัวออกไปเป็นประเทศสิงคโปร์

ตำแหน่งประมุขของประเทศมาเลเซียคือพระราชาธิบดี เรียกว่า “ยังดี เปอร์ตวนอากง ”มีความหมายว่าผู้ได้รับเลือกให้เป็นเจ้า มาจากการเลือกตั้งผู้ปกครองรัฐ (สุลต่าน) แห่ง (ยะโฮร์  ตรังกานูปาหัง  สลังงอร์  เกดะส์  กลันตัน  เนกรีเซมบีลัน  เประ  และปะลิส) ชายาของสุลต่านที่รับตำแหน่งนี้เรียกว่า “รายา  ประไหมสุหรี่  อากง”

รัฐที่ไม่มีสุลต่านปกครอง  ได้แก่ ปีนัง มะละกา ซาบาห์ และซาราวัก

คำนี้น่ารู้

สหพันธรัฐ  คือ  การรวมกันของของรัฐมากกว่าสองรัฐขึ้นไป  มีรัฐบาล 2 ระดับ  คือ  รัฐบาลของแต่ละรัฐ (เรียกว่า  รัฐบาลท้องถิ่น)  และรัฐบาลสหพันธรัฐ  (หรือรัฐบาลกลาง)


มาเลเซียแบ่งเขตการปกครองเป็น 13 รัฐ (states) และ 3 ดินแดนสหพันธ์  (federal territories) โดยแต่ละรัฐจะมีเมืองหลวงของตนเอง

เมืองหลวงของมาเลเซีย คือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ (KUALA LUMPUR) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มักเรียกชื่อสั้นๆว่า KL ล้อมรอบด้วยรัฐสลังงอร์ บนชายฝั่งตะวันตกตอนกลางของคาบสมุทรมาเลเซีย (Peninsular Malaysia) ต่อมาฝ่ายบริหารของรัฐบาลมาเลเซียได้ย้ายไปยังเมืองใหม่ คือ ปุตราจายา (Putrajaya) 
 

ประเทศมาเลเซียมีระบบการปกครองเป็นแบบสหพันธรัฐ มีสมเด็จพระราชาธิบดีเป็นประมุข เลือกตั้งจากเจ้าผู้ครองรัฐในมาเลเซีย 9 รัฐ ได้แก่ รัฐสลังงอร์ เนกรีเซมบิลัน ยะโฮร์ ปาหัง เปรัก กลันตัน ตรังกานู เปอร์ลิส และเคดาห์ ผลัดเปลี่ยนกันดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ปัจจุบัน สมเด็จพระราชาธิบดีหรือยังดีเปอร์ตวนอากงที่ 17 (Yang di-Pertuan Agong) คือ สุลต่าน อิบราฮิม สุลต่าน อิสกันดาร์ (Sultan Ibrahim Sultan Iskandar) แห่งรัฐยะโฮร์

สุลต่าน อิบราฮิม สุลต่าน อิสกันดาร์ (Sultan Ibrahim Sultan Iskandar) แห่งรัฐยะโฮร์ ทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีหรือยังดีเปอร์ตวนอากงที่ 17 (Yang di-Pertuan Agong) เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ณ พระราชวังแห่งชาติในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีวาระการครองราชย์เป็นเวลา 5 ปื โดยทรงสืบทอดตำแหน่งต่อจากสมเด็จพระราชาธิบดี อัล-สุลต่าน อับดุลเลาะห์ สุลต่าน อาหมัด ชาห์ ซึ่งทรงครองราชย์ครบ 5 ปี เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 67 และเสด็จกลับไปเป็นประมุขของรัฐปาหังแล้ว


สมเด็จพระราชาธิบดีอิบราฮิมฯ ทรงเจริญพระชนมายุ 65 พรรษา ทรงสนพระทัยในเรื่องธุรกิจหลายด้าน เช่น อสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม โรงไฟฟ้า ฯลฯ นอกจากนี้ ยังทรงถือหุ้นในโครงการ Forest City โครงการพัฒนาที่ดินมูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในรัฐยะโฮร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีน


สมเด็จพระราชาธิบดีอิบราฮิมฯ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม จึงคาดการณ์ว่าภายใต้การปกครองของพระองค์ฯ จะสามารถสนับสนุนรัฐบาลเอกภาพ (Unity Government) ของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ฯ ได้

อนึ่ง ระบบครองราชย์ของกษัตริย์มาเลเซียจะแตกต่างจากประเทศอื่นๆ เพราะจะเป็นการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี ผ่านการคัดเลือกของคณะสุลต่านผู้ปกครองทั้ง 9 รัฐในประเทศ (ตรังกานู สลังงอร์ เนกรีเซมบิลัน เปรัก เคดาห์ ยะโฮร์ ปาหัง เปอร์ลิส และกลันตัน)

พระราชประวัติสุลต่านรัฐยะโฮร์
– สุลต่าน อิบราฮิม อิสกันดาร์ ประสูติเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 1958 ที่รัฐยะโฮร์

– เป็นพระราชโอรสองค์โตของสุลต่านอิสกันดาร์ อิบนิ อัลมัรฮูม สุลต่านอิสมาอีล กับ กัลซม อับดุลเลาะห์ (ชื่อเดิม โจเซฟีน รูบี้ เทรเวอโรว์ สัญชาติอังกฤษ)
– ทรงศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่ Trinity Grammar School เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อระหว่างปี 1968 – 1970 จากนั้นเข้ารับการฝึกทหารที่ศูนย์ฝึกทหารบก (Pusat Latihan Tentera Darat) ที่เมืองโกตาติงฆี รัฐยะโฮร์ รวมทั้งเข้ารับการฝึกทหารที่ ฟอร์ต เบนนิ่ง รัฐจอร์เจีย และที่ ฟอร์ต แบรกก์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา
– ทรงดำรงตำแหน่งมกุฏราชกุมาร เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 1981 อภิเษกสมรสกับ รายา ซาริท โซฟียะห์ อัลมัรฮูม สุลต่านอิดริส ชาห์ เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 1982 โดยมีพระโอรส 5 องค์ และพระธิดา 1 องค์
– ทรงดำรงตำแหน่งสุลต่านแห่งรัฐยะโฮร์เมื่อ 23 ม.ค. 2010

3 ประสานปกครอง

          ประเทศมาเลเซียปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 15 ของประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 65 ผลปรากฏว่า พรรคปากาตัน ฮาราปัน (Pakatan Harapan: PH) ของนายอันวาร์ อิบราฮิม ได้ ส.ส. จำนวน 82 ที่นั่ง ตามมาด้วยแนวร่วมพรรคเปอร์อิกาตัน เนชันแนล (Perikatan Nasional: PN) ของมูห์ยิดดิน ยัสซิน อดีตนายกฯ ได้ ส.ส. จำนวน 73 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional: BN) ซึ่งมีอดีตพรรครัฐบาลอย่างพรรคองค์การมลายูรวมแห่งชาติ (United Malays National Organisation: UMNO) ได้ ส.ส. เพียง 30 ที่นั่งเท่านั้น ตามมาด้วยพรรคซาราวักภาคีพันธมิตร (Gabungan Parti Sarawak: GPS) ได้จำนวน ส.ส. 22 ที่นั่ง พรรคแนวร่วมประชาชนซาบาห์ (Gabungan Rakyat Sabah: GRS) ได้จำนวน ส.ส. 6 ที่นั่ง อย่างไรก็ตาม ไม่มีแนวร่วมใดครองเสียงข้างมากเกินครึ่งหนึ่ง หรือ 112 ที่นั่งจากจำนวน ส.ส. ในสภาทั้งหมด 222 ที่นั่ง ทำให้พรรคการเมืองแต่ละพรรค โดยเฉพาะอันดับ 1 และ 2 ต้องไปเจรจากันเอง หรือเจรจาร่วมกับพรรคอื่นๆ เพื่อให้ได้รับเสียงสนับสนุนมากพอในการจัดตั้งรัฐบาลผสมต่อไป และบรรดาพรรคการเมืองจะต้องทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแด่สมเด็จพระราชาธิบดีเพื่อมีพระบรมราชวินิจฉัยแต่งตั้งต่อไป

อนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ชาวมาเลเซียอายุ 18 – 20 ปีมีสิทธิเลือกตั้ง หลังมีการปรับลดอายุผู้มีสิทธิเลือกตั้งจาก 21 ปี เหลือ 18 ปี เมื่อปีที่แล้ว ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งมาเลเซีย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้มีประชาชนมาใช้สิทธิร้อยละ 74 จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมดกว่า 21 ล้านคน

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 65 สำนักพระราชวังมาเลเซียออกแถลงการณ์ ประกาศแต่งตั้ง  ดาโต๊ะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำพรรคแนวร่วมแห่งความหวัง (Pakatan Harapan: PH) เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 10 ของมาเลเซีย โดยจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 24 พ.ย. 65 เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวถือเป็นการยุติสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในมาเลเซีย ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา ที่สิ้นสุดลงโดยไม่มีพรรคใดในสองพรรคใหญ่ครองเสียงข้างมากในสภาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

ภายหลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้น ดาโต๊ะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซียได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการดำเนินการที่รัฐบาลภายใต้การนำของตน   มีดังต่อไปนี้

(1) มุ่งมั่นที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญ – ภาษามาเลย์ ศาสนาอิสลามในฐานะศาสนาประจำชาติ สถานะของกษัตร์มลายู เอกสิทธิ์ของชาวมาเลย์โดยไม่กีดกันสิทธิของชาวจีน อินเดีย ชนเผ่าในรัฐซาราวักและซาบาห์ รวมทั้งชนพื้นเมือง (โอรังอัสลี)

(2) รัฐบาลจะจัดตั้งขึ้นด้วยการสนับสนุนอย่างมั่นคงจากพรรคแนวร่วมที่ใหญ่ที่สุด 3 พรรค ได้แก่ Pakatan Harapan (ส.ส. 82 ที่นั่ง) Barisan Nasional (ส.ส. 30 ที่นั่ง) และ Gabungan Parti Sarawak (ส.ส. 22 ที่นั่ง)

(3) ปกป้องสิทธิของชาวมาเลเซียทุกคน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสและยากจน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติและศาสนา

(4) วาระสำคัญเร่งด่วนที่สุด คือ การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศ

(5) ต่อต้านการทุจริตและคอรัปชั่นอย่างจริงจังและทั่วถึง ด้วยการขับเคลื่อนวาระการปฏิรูประบบราชการ

(6) ระเบียบวาระแรกในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 19 ธันวาคม 2565 คือ ข้อเสนอลงมติไม่ไว้วางใจ

(7) ให้คำมั่นว่าจะไม่รับเงินเดือนประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

(8) ประกาศให้วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เป็นวันหยุดราชการทั่วประเทศ

 

ประวัติของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซีย 

  • เกิดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1947 ที่รัฐปีนัง
  • สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขามาเลย์ศึกษา และปริญญาโท สาขาวรรณกรรม มหาวิทยาลัยมาลายา
  • ปี 1982 เข้าร่วมพรรคองค์การมลายูรวมแห่งชาติ (UMNO)
  • ปี 1983 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยาวชน และกีฬา
  • ปี 1984 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
  • ปี 1986 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
  • ปี 1991 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
  • ปี 1993 ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีคนที่ ๗ ของมาเลเซีย
  • ปี 1998 ถูกขับออกจากคณะรัฐมนตรีและพรรค UMNO ถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาทุจริต
  • ปี 1999 ถูกตัดสินจำคุกรวม ๑๕ ปี ในข้อหาคอรัปชั่นและข้อหามีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย
  • ปี 2004 ศาลสูงสุดของมาเลเซียกลับคำตัดสินของศาลชั้นก่อนในคดีมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย และถูกปล่อยตัว
  • ปี 2008 ชนะการเลือกตั้งซ่อม ณ เขตเลือกตั้ง Pematang Pauh รัฐปีนัง และกลับเข้าสู่รัฐสภาในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ในปีเดียวกัน ถูกจับกุมอีกครั้งในข้อหามีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย ซึ่งเป็นอดีตผู้ช่วย
  • ปี 2015 ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี ในข้อหามีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชาย
  • ปี 2018 ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากสมเด็จพระราชาธิบดี
  • ปี 2018 ชนะการเลือกตั้ง ส.ส. เขตเลือกตั้ง Port Dickson รัฐเนกรี เซมบิลัน
  • ปี 2022 ชนะการเลือกตั้ง ส.ส. เขตเลือกตั้ง Tambun รัฐเปรัก
  • วันที่ 24 พ.ย. 2022 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนที่ 10

 

โครงสร้างการเมืองการปกครองของมาเลเซียแบ่งเป็น 3 ฝ่าย ดังนี้

ฝ่ายบริหาร
     ฝ่ายบริหารประกอบด้วยหัวหน้ารัฐบาล คือ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ


ฝ่ายนิติบัญญัติ

ระบบการปกครองเป็นแบบรัฐสภา (Parliamentary System) ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

สภาผู้แทนราษฎรของมาเลเซีย (Dewan Rakyat) ทำหน้าที่หลักในการออกกฎหมายและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล สมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรจะได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในการเลือกตั้งทั่วไปทุก ๆ 5 ปี โดยในปัจจุบันมีทั้งหมด 222 ที่นั่ง ซึ่งแต่ละที่นั่งจะเป็นตัวแทนของเขตเลือกตั้งต่าง ๆ ทั่วประเทศ

อำนาจหลักของสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่:

  • การออกกฎหมาย: สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการพิจารณาร่างกฎหมายที่ถูกเสนอมา รวมถึงการแก้ไขและอนุมัติร่างกฎหมายที่เสนอ
  • การตรวจสอบรัฐบาล: สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ในการตั้งคำถามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการพิจารณางบประมาณ
  • การเลือกนายกรัฐมนตรี: สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด
  • การตัดสินใจในสภาผู้แทนราษฎรจะมีผลสูงสุดในกระบวนการกฎหมาย แม้ว่าจะต้องได้รับการพิจารณาจากวุฒิสภาก่อนจะเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ

วุฒิสภาของมาเลเซีย (Senate of Malaysia) หรือที่เรียกว่า Dewan Negara (หรือในภาษาอังกฤษ “Council of States”) เป็นสภาหรือส่วนหนึ่งของรัฐสภามาเลเซีย ซึ่งทำหน้าที่ร่วมกับ Dewan Rakyat (สภาผู้แทนราษฎร) ในการพิจารณากฎหมายและการตัดสินใจในเรื่องสำคัญต่าง ๆ

วุฒิสภาของมาเลเซียประกอบด้วยสมาชิก 70 คน โดยมีการเลือกตั้งและการแต่งตั้งสมาชิกตามประเภทต่าง ๆ ดังนี้:

  1. สมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ (Yang di-Pertuan Agong):

    • มีจำนวน 44 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์จะเลือกจากบุคคลที่มีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง, การศึกษา, การธุรกิจ, การพัฒนา, หรือด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ
    • การแต่งตั้งเหล่านี้มักจะมีวาระ 3 ปี
  2. สมาชิกที่มาจากแต่ละรัฐ:

    • มีจำนวน 26 คน โดยแต่ละรัฐในมาเลเซียจะมีตัวแทน 2 คน (ยกเว้นกรุงกัวลาลัมเปอร์, ลาบวน, และปุตราจายา ซึ่งไม่มีการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกจากตัวแทนของรัฐ)
    • การเลือกตั้งสมาชิกในกลุ่มนี้จะเป็นการเลือกตั้งโดยตรงจากรัฐภายใต้ระบบการเลือกตั้งที่กำหนด

อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา

  1. การพิจารณากฎหมาย: วุฒิสภามีหน้าที่ในการพิจารณาและตรวจสอบร่างกฎหมายที่ผ่านจากสภาผู้แทนราษฎร (Dewan Rakyat) โดยสามารถเสนอการปรับปรุงหรือให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายได้ หากมีความเห็นต่างจากสภาผู้แทนราษฎร ร่างกฎหมายอาจจะต้องได้รับการพิจารณาซ้ำ
  2. การตรวจสอบการปกครอง: วุฒิสภามีหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินการของรัฐบาลและการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ภายในรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาล
  3. การเสนอกฎหมาย: วุฒิสภามีสิทธิในการเสนอร่างกฎหมายได้ แต่บางประเภทของกฎหมาย (เช่น งบประมาณ) ต้องผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรก่อน

วุฒิสภาของมาเลเซียมีบทบาทในการเสริมสร้างกระบวนการทางกฎหมายและการตรวจสอบการปกครอง โดยทำงานร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในระบบรัฐสภาแบบสองสภา ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการตัดสินใจทางการเมืองมีความสมดุลและหลากหลายมากขึ้น.


ฝ่ายตุลาการ (Judiciary) 
มีบทบาทสำคัญในการรักษาหลักนิติธรรมและการตีความกฎหมายในระบบการปกครองของมาเลเซีย เเละเนื่องจากในประวัติศาสตร์ประเทศมาเลเซียเคยตกเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษมาก่อน จึงใช้กฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) ตามแบบประเทศอังกฤษ สถาบันตุลาการทั้งประเทศ (ยกเว้นศาลอิสลาม) อยู่ภายใต้ระบบสหพันธรัฐ ประมุขของรัฐเป็นผู้แต่งตั้งผู้พิพากษาตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี

โครงสร้างของฝ่ายตุลาการ


1. ศาลสูงสุดของมาเลเซีย (Federal Court)

ศาลสูงสุด (Federal Court) เป็นศาลที่สูงที่สุดในมาเลเซีย มีหน้าที่พิจารณาคดีที่มีความสำคัญสูงหรือเป็นกรณีที่มีผลกระทบต่อประเทศ และมีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญ
ศาลนี้ประกอบไปด้วยประธานศาลสูงสุด (Chief Justice of Malaysia) และผู้พิพากษาที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์
ศาลสูงสุดยังมีอำนาจในการพิจารณาคดีที่ยื่นอุทธรณ์จากศาลอุทธรณ์ (Court of Appeal) และศาลอื่น ๆ ในระบบตุลาการมาเลเซีย

2. ศาลอุทธรณ์ (Court of Appeal)

เป็นศาลที่รองจากศาลสูงสุด มีหน้าที่ในการพิจารณาคดีอุทธรณ์จากศาลสูง (High Court)
ศาลอุทธรณ์มีอำนาจในการตัดสินเรื่องที่อุทธรณ์มาจากศาลที่ต่ำกว่า แต่ไม่ได้มีอำนาจในการพิจารณาคดีใหม่ในกรณีที่เป็นข้อกฎหมายใหญ่ ๆ หรือประเด็นสำคัญที่มีผลกระทบต่อประเทศ

3. ศาลสูง (High Court)

ศาลสูงมีสองประเภท ได้แก่ High Court in Malaya (ศาลสูงในคาบสมุทรมาเลเซีย) และ High Court in Sabah and Sarawak (ศาลสูงในซาบาห์และซาราวัก)
ศาลสูงทำหน้าที่พิจารณาคดีที่มีความสำคัญสูง เช่น คดีอาญาร้ายแรง คดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับจำนวนเงินมาก คดีที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางรัฐธรรมนูญ หรือการตีความกฎหมาย
ศาลสูงยังมีอำนาจในการรับเรื่องที่มีข้อกฎหมายหรือประเด็นที่สำคัญในระดับท้องถิ่น

4. ศาลล่าง (Subordinate Courts)

ศาลล่างประกอบด้วย ศาลเซสชั่น (Sessions Courts) และ ศาลมลฑล (Magistrates Courts)
ศาลเซสชั่นรับผิดชอบในการพิจารณาคดีอาญาระดับกลางและคดีแพ่งในกรณีที่ไม่ซับซ้อนหรือมูลค่าต่ำ
ศาลมลฑลพิจารณาคดีที่มีมูลค่าต่ำหรือคดีอาญาที่ไม่ร้ายแรง เช่น การละเมิดกฎหมายขนาดเล็กหรือการกระทำผิดที่ไม่ร้ายแรง

การปกครองตุลาการและความเป็นอิสระ
ฝ่ายตุลาการของมาเลเซียได้รับการจัดตั้งให้มีความเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของมาเลเซียที่รับประกันความเป็นอิสระของศาล การแต่งตั้งผู้พิพากษาจะต้องได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ โดยคำแนะนำจากคณะกรรมการการแต่งตั้งตุลาการ (Judicial Appointments Commission) ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ที่มีประสบการณ์ทางกฎหมายและบุคคลในวงการตุลาการ

อำนาจและหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ

การตีความรัฐธรรมนูญ: ฝ่ายตุลาการมีอำนาจในการตีความรัฐธรรมนูญของมาเลเซีย และการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับข้อขัดแย้งทางกฎหมายในระดับต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการตีความรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ


การรักษาหลักนิติธรรม: ฝ่ายตุลาการทำหน้าที่ในการรักษาหลักนิติธรรม โดยการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมและเป็นกลาง เพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนจากการกระทำที่ไม่เป็นธรรมของรัฐหรือบุคคล


การตรวจสอบกฎหมาย: หากกฎหมายใด ๆ ที่ถูกบังคับใช้ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฝ่ายตุลาการสามารถออกคำตัดสินให้กฎหมายดังกล่าวเป็นโมฆะ


การเลือกตั้งและการแต่งตั้งผู้พิพากษา
ผู้พิพากษาของศาลในมาเลเซียจะได้รับการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์จากคำแนะนำของคณะกรรมการการแต่งตั้งตุลาการ (Judicial Appointments Commission) ซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านกฎหมายและมีความเหมาะสมสำหรับการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษา โดยกระบวนการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ฝ่ายตุลาการมีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายบริหาร

บทบาทของตุลาการในระบบการเมือง
ฝ่ายตุลาการของมาเลเซียมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รวมถึงการรักษาความยุติธรรมและสิทธิของประชาชน โดยการตัดสินคดีตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ แม้ว่ารัฐบาลจะมีอำนาจในการบริหาร แต่ฝ่ายตุลาการยังคงมีบทบาทในการตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ

ฝ่ายตุลาการของมาเลเซียเป็นระบบที่มีความเป็นอิสระและมุ่งเน้นในการรักษาหลักนิติธรรมและความยุติธรรม ผ่านการพิจารณาคดีและตีความกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐและสิทธิของประชาชน โดยมีโครงสร้างตั้งแต่ศาลล่างจนถึงศาลสูงสุด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการกระทำของรัฐและการตีความกฎหมายในประเทศ

 


59548
TOP