Skip to main content

หน้าหลัก

สนร. มาเลเซียตรวจสอบลูกเรือประมงไทย

 
            ในระหว่างวันที่ 21-23 กันยายน 2553 นายสิงหเดช ชูอำนาจ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) นายสมพงษ์ กางทอง อัครราชทูตที่ปรึกษา (รับผิดชอบงานกงสุล) ได้เดินทางไปการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับฝ่ายมาเลเซีย กรณีได้รับแจ้งว่ามีลูกเรือประมงไทยที่ในเมือง Tanjung Manis รัฐซาราวัก จำนวนกว่า 2,000 คน
             เมือง Tanjung Manis เป็นเมืองท่าหนึ่งของรัฐซาราวัก ตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอร์เนียว มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในทะเล มีแม่น้ำหลายสายเชื่อมต่อกับเมืองอื่นได้ตลอดรัฐ การเดินทางไปจากกรุงกัวลาลัมเปอร์โดยเครื่องบินไปลงที่เมือง Sibu (2 ชั่วโมง) และเดินทางต่อโดยทางบกไปเมือง Sarikei (1 ชั่วโมงครึ่ง) เพื่อลงเรือต่อไปขึ้นที่ท่าเรือเมือง Tanjung Manis (1 ชั่วโมง) แล้วจึงสามารถใช้การเดินทางโดยทางบกต่อไปได้

        

            คณะฯ ได้ประชุมหารือกับผู้อำนวยการตรวจคนเข้าเมือง Sarikei (รับผิดชอบเขตเมือง Tanjung Manis)  และหัวหน้าตรวจคนเข้าเมือง Tanjung Manis เพื่อสรุปข้อเท็จจริงและปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกเรือประมงไทย ทราบว่า มีเรือประมงของไทยซึ่งเช่าจากผู้ประกอบการมาเลเซีย ประมาณ 300 ลำ (สถิติของสำนักงานประมง Tanjung Manis) ทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่ ทำการประมงน้ำลึกในน่านน้ำของมาเลเซีย  และมีลูกเรือที่อ้างว่ามีสัญชาติไทย โดยการตรวจสอบจากเอกสารสำหรับผู้ที่ทำงานบนเรือ (Seaman Book) ทั้งหมด 2,473 คน ซึ่งลูกเรือต่างชาติเหล่านี้ต้องเข้ามารายงานตัวทุกเดือน 
             คณะฯ จึงได้เดินทางไปยังท่าเรือขึ้นปลาของสำนักงานประมง Tanjung Manis ซึ่งลูกเรือประมงต่างชาติจะต้องมารายงานตัว พบว่ามีเรือประมงขนาดกลางและใหญ่จอดอยู่ประมาณ 30 ลำ ซึ่งมีทั้งลูกเรือจากประเทศเวียดนาม พม่า กัมพูชา และไทย แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีจำนวน 5 ลำที่มีลูกเรือเป็นคนไทย ส่วนใหญ่มีสภาพการทำงานที่มีความยากลำบาก ต้องอยู่ในเรือตลอดเดือน ซึ่งบางลำที่ไม่เคยจดทะเบียนหรือรายงานตัวกับทางการมาเลเซียก็จะต้องลอยลำอยู่ในทะเล จะนำลูกเรือเข้ามาขึ้นฝั่งรายงานตัวไม่ได้ เพราะผิดขั้นตอนมาตั้งแต่ต้น บางรายทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างในทันที แต่อาจมีการโอนเงินเข้าบัญชีที่ประเทศไทยโดยในขณะนั้นมีลูกเรือประมง 2 ราย คือ นายณัฐวุฒิ ภรภูตานนท์ (จ. บุรีรัมย์) และนายปิยวัฒน์ ณิลวรรณ์ (จ. ร้อยเอ็ด) ขอความช่วยเหลือให้เดินทางกลับไทย เนื่องจากมีสภาพงานหนักและยังไม่ได้รับค่าจ้าง ทางไต้ก๋งเคยแจ้งว่าจะให้กลับประเทศไทยเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการให้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้รับตัวไว้ (เป็นกรณีมอบตัว) เพื่อรอขั้นตอนการจัดส่งคนไทยทั้งสองไปที่ศูนย์กักกัน Semuja เมืองกุชิง เพื่อกลับประเทศไทยต่อไป
             จากการตรวจสอบ Seaman Book ของลูกเรือที่อ้างว่าเป็นคนไทยจำนวน 20 ราย พบว่ามีเพียง 1 รายเท่านั้นที่ถูกต้อง นอกนั้นเป็นเอกสารปลอม หรือสวมชื่อและรูปถ่ายใน Seaman Book ของผู้อื่น โดยผู้ที่มีรูปถ่ายใน Seaman Book ส่วนใหญ่จะเป็นคนพม่าและกัมพูชา ดังนั้น จึงสันนิษฐานได้ว่าตัวเลขของคนงานไทยไม่น่าจะถึง 2,473 คน อย่างไรก็ตามตัวเลขที่แท้จริงก็ยังไม่สามารตรวจสอบได้ในขณะนี้ เพราะยังมีเรืออีกหลายลำลอยอยู่ในน่านน้ำนอกเขต ซึ่งไม่เคยเข้ามารายงานตัวหรือจดแจ้งตามระเบียบแต่อย่างใด

                            

             เนื่องจากการแก้ไขปัญหาลูกเรือประมง ไม่ว่าจะเป็นกรณีลักลอบหรือถูกบังคับใช้แรงงาน หรืออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการค้ามนุษย์ และอาจมีลูกเรือประมงไทยอีกหลายรายขอเดินทางกลับประเทศไทยเนื่องจากไม่สามารถอดทนต่อสภาพการจ้างงานได้ จึงเป็นปัญหาใหญ่และสำคัญที่หลายหน่วยงานจะต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไข และเร่งประชาสัมพันธ์ให้คนไทยทราบข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงต่อไป
 


1453
TOP