เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553 สำนักงานแรงงานในประเทศมาเลเซีย ร่วมกับฝ่ายกงสุล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้เดินทางไปเยี่ยมคนไทยในเรือนจำหญิง Kajang ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 40 กิโลเมตร
เรือนจำ Kajang เป็นเรียนจำหญิงขนาดใหญ่ในมาเลเซีย ในวันที่เข้าเยี่ยมมีคนไทยจำนวน 29 คน ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในจำนวนนี้ต้องโทษคดียาเสพติด (เสพและครอบครอง) จำนวน 13 คน ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต 12 คน (ทำงานนวดไทยและร้านต้มยำ) ที่เหลือ 4 คนมีโทษพำนักอยู่ในมาเลเซียเกินกำหนด (overstay)
ในจำนวนผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีจำนวน 6 รายทำงานร้านนวดไทย มีโทษจำคุก 4-6 เดือนและจะพ้นโทษในเดือนธันวาคม 2553 แจ้งว่าทำงานที่ร้านนวดชื่อสวัสดี จำนวน 4 ราย และร้านในเมืองกะจัง (คนงานจำชื่อร้านไม่ได้) อีก 2 ราย ส่วนใหญ่เคยเข้ามาทำงานในมาเลเซียหลายครั้งกับนายจ้างรายอื่นแต่เพิ่งถูกจับเป็นครั้งแรก ใช้วิธีการเข้าไปทำงานมาเลเซียครบ 1 เดือนแล้วเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อประทับตราหนังสือเดินทางเข้ามาใหม่ โดยไม่ทำใบอนุญาตทำงานและไม่มีสัญญาจ้างแรงงาน แต่อย่างใด คนงานทั้ง 6 คนขอให้สนร. มาเลเซียช่วยติดต่อนายจ้างให้ออกค่าเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อพ้นโทษ ซึ่งสำนักงานแรงงานในประเทศมาเลเซียได้ติดต่อเจรจากับนายจ้างให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับ และคืนเงินค่าจ้างที่ค้างอยู่ให้กับคนงานแล้ว สำหรับผู้ที่ทำงานร้านต้มยำซึ่งส่วนใหญ่มาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ประสงค์เอาความกับนายจ้าง
สนร. มาเลเซียใคร่ขอเตือนคนไทยที่ประสงค์จะทำงานในมาเลเซีย หากไม่มีใบอนุญาตทำงานหากถูกจับกุมจะมีโทษข้อหาใช้วีซ่าหรือเข้าเมืองผิดประเภท มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับตามระยะเวลาของโทษ คือ 6 เดือน-1 ปี ปรับ 2,100 ริงกิต, มากว่า 2 ปี-6 ปี ปรับ 3,000 ริงกิต (สูงสุด) หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีไม่มีสัญญาจ้างงานอาจถูกปฏิเสธความช่วยเหลือใดๆ จากนายจ้างอีกด้วย นอกจากนี้ เกี่ยวกับคดียาเสพติด ประเทศมาเลเซียมีกฎหมายและบทลงโทษที่รุนแรง สำหรับผู้ที่มียาเสพติดในครอบครองอาจมีโทษถึงประหารชีวิต คนไทยโดยเฉพาะหญิงไทยขอให้ระมัดระวังมิให้ตกเป็นเครื่องมือแก่ผู้ค้ายาเสพติดชาวต่างชาติที่ใช้วิธีชักชวนให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศมาเลเซีย แต่กลับถูกจับกุมข้อหามียาเสพติดในครอบครอง